• ประสูติ เมื่อพระนางสิริมหามายา พระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงพระครรภ์แก่จวนจะประสูติ พระนางได้รับพระบรมราชานุญาต จากพระสวามี ให้แปรพระราชฐานไปประทับ ณ กรุงเทวทหะ ซึ่งเป็นพระนครเดิมของพระนาง เพื่อประสูติในตระกูลของพระนางตาม ประเพณีนิยมในสมัยนั้น ขณะเสด็จแวะพักผ่อน พระอิริยาบถใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน พระนางก็ได้ประสูติพระโอรส ณ ใต้ต้นสาละนั้น ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี ครั้นประสูติได้ ๕ วันก็ได้รับการถวายพระนามว่า “สิทธัตถะ” | |
• เจ้าชายสิทธัตถะกับเทวทูตทั้ง ๔ เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะได้ฟังคำทำนายว่า ... เจ้าชายสิทธัตถะ จะได้เป็นพระมหาจักรพรรดิ์ หรือเป็นศาสดาเอกแห่งโลกประการใดประการหนึ่งแล้ว พระองค์ก็จัดให้เจ้าชายสิทธัตถะเสพสุขอยู่แต่ในพระราชวัง วันหนึ่งเจ้าชายสิทธัตถะได้เสด็จออกจากพระราชวัง และได้พบเห็นเทวทูตทั้ง ๔ อันได้แก่ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช พระองค์จึงบังเกิดความสังเวชในพระราชหฤทัย ใคร่เสด็จออกบรรพชาเป็นสมณะ | |
• เจ้าชายสิทธัตถะทอดพระเนตรราหุลกุมาร เมื่อพระองค์เห็นพระนางพิมพาบรรทมหลับ สนิทพระกรกอดโอรสอยู่ ทรงดำริจะอุ้มพระโอรสขึ้นชมเชยเป็นครั่งสุดท้าย ก็เกรงว่าพระนางพิมพาจะตื่นบรรทม เป็นอุปสรรคขัดขวางการเสด็จออกบรรพชา จึงตัดพระทัยระงับความเสน่หาในพระโอรส เสด็จออกจากห้อง เสด็จลงจากปราสาท พบกับนายฉันนะซึ่งเตรียมม้าพระที่นั่งไว ้ แล้วเสด็จออกจากพระนครในราตรีกาล ซึ่งเทพยดาบันดาลเปิดทวารพระนครไว้ให้เสด็จ โดยสวัสดี | |
• เจ้าชายสิทธัตถะทรงตัดพระเมาลีด้วยพระขรรค์ เมื่อพระองค์เสด็จออกพ้นพระราชวังเข้าเขตแดนแคว้นโกศล และแคว้นวัชชี เวลาใกล้รุ่งก็เสด็จถึงฝั่งแม่น้ำอโนมานที พระองค์ทรงม้าข้ามฝั่งแม่น้ำ แล้วเสด็จลงไป ประทับนั่งบนกองทราย ทรงเปลื้องเครื่องทรงมอบให้นายฉันนะนำกลับพระนคร ทรงตัดพระเมาลีด้วยพระขรรค์ ครองผ้ากาสาวพัตร์ แล้วอธิษฐานใจบวชเป็นบรรพชิต ทรงส่งนายฉันนะกลับ เสด็จลำพังโดยพระองค์เดียว มุ่งพระพักตร์ไปยังแคว้นมคธ | |
• นางสุชาดาถวายข้าวมธุปายาสแก่พระสิทธัตถะ เมื่อพระสิทธัตถะได้บำเพ็ญทุกรกิริยามา ๖ ปี ก็มิได้บรรลุมรรคผล จนทรงท้อพระทัย ซึ่งพระอินทร์ได้เสด็จลงมาดีดพิณถวาย พิณสายหนึ่งขึงไว้ตึงเกินไป พอถูกดีดก็ขาดผึงออกจากกัน จึงพิจรณาเห็นทางสายกลางว่าเป็นหนทาง ที่จะนำไปสู่พระโพธิญาณได้ จึงทรงเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา กลับมาเสวยพระกระยาหาร บำรุงร่างกาย เพื่อให้ร่างแข็งแรงมีกำลังบำเพ็ญเพียรต่อไป จากนั้นประมาณครึ่งเดือน ก็ถึงวันเพ็ญเดือน ๖ นางสุชาดาบุตรสาวนายบ้านเสนานิคม ได้หุงข้าวมธุปายาส เพื่อนำไปถวายเทวดาที่ต้นไทร ตามที่ได้บนบานไว้ ครั้นเห็นพระสิทธัตถะประทับอยู่ใต้ต้นไทรนั้น จึงนำข้าวมธุปายาสเข้าไปถวายพร้อมกับถาดทองคำ | |
• พระมหาบุรุษเจ้า ทรงลอยถาดเสี่ยงพระบารมี พระมหาบุรุษได้เสด็จลุกจากที่ประทับ ทรงถือถาดข้าวมธุปายาส เสด็จไปยังฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ประทับบ่ายพระพักตร์สู่บุรพาทิศ ทรงปั้นข้าวนั้นเป็นปั้นๆ นับได้ ๔๙ ปั้น เสวยจนหมด แล้วทรงถือถาดลงไปสู่แม่น้ำนั้น ทรงอธิษฐาน เสี่ยงพระบารมีว่า ... “ ถ้าอาตมาจะได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณแล้ว ขอให้ถาดนี้จงลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป ” แล้วทรงลอยถาดทองนั้น สู่แม่น้ำเนรัญชรา ขณะนั้น อานุภาพพระบารมีของพระองค์ซึ่ง บำเพ็ญมาบริบูรณ์ดีแล้ว ได้แสดงให้เห็นอัศจรรย์ ถาดทองนั้นลอย ทวนกระแสน้ำขึ้นไป ๑ เส้น แล้วก็จมลงตรงนาคภพพิมานแห่งพญากาฬนาคราช พระองค์ทรงโสมนัสและแน่พระทัยว่าจะได้ตรัสรู้ เป็นพระสัพพัญญูสัมพุทธเจ้า โดยหาความสงสัยมิได้ | |
• พระมหาบุรุษเจ้า ทรงชนะมารด้วยบารมี ๓๐ ทัศ พระมหาบุรุษได้เสด็จไปประทับใต ้ต้นมหาโพธิ์ในเวลาเย็น ทรงกำหนดจิตเจริญสมาธิภาวนา เพื่อการบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ พระยาวัสสวดีมารซึ่งคอยติดตามพระองค์อยู่ จึงเข้าขัดขวาง โดยขี่ช้างคิรีเมขละ นำเหล่าเสนามารจำ นวนมากเข้ามารบกวน หวังให้พระองค์เกรงกลัวจะได้ลุกขึ้นเสด็จหนีไป แต่พระองค์ก็ยังประทับนิ่งเป็นปกติโดยมิได้ทรงหวั่นไหว พระยามารจึงโกรธมาก สั่งให้เสนามารกลุ้ม รุมกันประหารพระองค์ พระองค์จึงทรงนึกถึงบารมี ๓๐ ทัศ ที่ทรงบำเพ็ญสั่งสมมาทุกชาติ โดยขอให้นางสุนทรีวนิดาแม่พระธรณีเป็นพยาน แม่พระธรณีจึงผุดขึ้นมาจากพื้นดิน แล้วบิดมวยผมจนน้ำท่วม กระแสน้ำก็พัดพาพวกเสนามารไปหมดสิ้น พระยาวัสสวดีมารจึงขอมแพ้และกลับไปยังที่อยู่ของตน | |
• ตรัสรู้ พระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญเพียรต่อไป ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้น ทรงเริ่มบำเพ็ญสมาธิให้เกิดในพระทัย เรียกว่าการเข้า “ฌาน” เพื่อให้บรรลุ “ญาณ” จนเวลาผ่านไปจนถึง ... - ยามต้น : ทรงบรรลุ “ปุพเพนิวาสานุติญาณ ” คือทรงระลึกชาติในอดีตทั้งของตนเองและผู้อื่น - ยามสอง : ทรงบรรลุ “จุตูปปาตญาณ ” คือการรู้แจ้งการเกิดและดับของสรรพสัตว์ทั้งหลาย - ยามสาม : ทรงบรรลุ “อาสวักขญาณ” คือรู้วิธีกำจัดกิเลส ด้วย อริยสัจ ๔ ( ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ) ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในคืนวันเพ็ญเดือน ๖ ซึ่งขณะนั้นพระพุทธองค์มีพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา | |
• สามธิดามารมาทำลายตบะพระพุทธองค์ เมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้แล้วได้ทรง เสวยวิมุติสุขอยู่ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ และบริเวณใกล้เคียงเป็นเวลา ๗ สัปดาห์ ในช่วงสัปดาห์ที่ ๕ พระองค์เสด็จไปทาง ทิศตะวันออกของต้นมหาโพธิ์ แล้วประทับอยู่ใต้ต้นไทรที่ชื่อ “อชปาลนิโครธ” เพราะเป็นที่อยู่ของคนเลี้ยงแพะ ก็ได้มีสามธิดาของพญามาร มี นางตัณหา นางราคา และนางอรดี รับอาสามาทำลายตบะ ของพระพุทธองค์ ด้วยการขับร้อง ฟ้อนรำยั่วยวนต่างๆนานา แต่พระองค์ก็มิได้สนใจ นางทั้งสามจึงผิดหวังกลับไป | |
• ท้าวสหัมบดีพรหมลงมาทูลอาราธนา เมื่อพระพุทธองค์ได้ทรงพิจารณา ถึงธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรู้มา ว่าเป็นธรรมที่มีความหมายสุขุมละเอียด ยากที่จะเข้าใจได้ จึงทรงท้อพระทัยในการที่จะแสดงธรรมเพื่อ โปรดสรรพสัตว์ ท้าวสหัมบดีพรหม จึงเสด็จลงมาทูลอารธนา พระพุทธองค์ ให้แสดงธรรมโปรดชาวโลกความว่า ... “ พรหฺมา จ โลกาธิปตี สหมฺปติ กตฺอญฺชลี อนฺธิวรํ อยาจถ สันฺตีธ สตฺตาปฺปรชกฺขชาติกา เทเตสุ ธมฺมํ อนุกมฺปิมํ ปชํ ” แปลว่า “ ท้าวสหัมบดีพรหม ประณมกรกราบทูลอารธนา พระพุทธเจ้าผู้ทรงคุณอันประเสริฐว่า สัตว์โลกในที่นี้ ที่มีกิเลสบางเบาพอที่จะฟังธรรมเข้าใจนั้นมีอยู่ ขอพระองค์ได้โปรดแสดงธรรมช่วยเหลือ ชาวโลกเทอญ ” เมื่อพระพุทธองค์ได้ฟังแล้ว ก็ทรงรับคำอาราธนานั้น | |
• ทรงหยั่งเห็นสันดานของมนุษย์ประดุจ ดังดอกบัว ๔ เหล่า เมื่อพระพุทธองค์ทรงรับคำอารธนาของ ท้าวสหัมบดีพรหมแล้ว ทรงเปรียบเทียบมนุษย์กับดอกบัว ๔ ประเภท คือ ๑ อุคฆติตัญญุ คือพวกฉลาดมาก เหมือนบัวที่พ้นน้ำแล้ว เพียงได้ฟังหัวข้อธรรมที่ยกขึ้น ก็จะเข้าใจได้โดยง่าย ๒ วิปจิตัญญู คือพวกฉลาดพอควร เหมือนดอกบัวที่อยู่เสมอน้ำ เพียงฟังคำอธิบายก็เข้าใจได้ ๓ เยยะ คือพวกฉลาดปานกลาง หรือเวไนยสัตว์ เหมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ มีโอกาสที่จะโผล่ขึ้นมาในวันต่อๆไป เมื่อได้รับการอบรมบ่มสติปัญญาพอควร ก็จะเข้าใจธรรมได้ ๔ ปทปรมะ คือผู้ที่โง่เขลา เหมือนบัวที่อยู่ในโคลนตม ยากที่จะสอนให้เข้าใจได้ ไม่มีโอกาสโผล่เหนือน้ำ | |
• ปฐมเทศนา พระพุทธองค์ทรงนึกถึงบัวพ้นน้ำ เป็นกลุ่มแรกที่พระองค์จะแสดงธรรม จึงเสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน และได้แสดงธรรมเทศนากัณฑ์แรก คือ “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” ในวันเพ็ญ เดือน ๘ คือวันอาสาฬหบูรณมี ท่านโกณฑัญญะ ก็ได้ “ธรรมจักษุ” คือดวงตาเห็นธรรม พระพุทธองค์ถึงกับเปล่งวาจา “อัญญาสิ ๆ วตโกณฑัญโญ” แปลว่า “โกณฑัญญะได้รู้แล้ว ๆ ” ท่านโกณฑัญญะ จึงได้สมญา “อัญญาโกณฑัญญะ” และได้ทรงพระกรุณารับท่านมาบวช โดยล่าวว่า “ ท่านจงมาเป็นภิกษุเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด” การอุปสมบทแบบนี้เรียกว่า “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” | |
• การประชุมพระอรหันต์ ๏ หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ มาเป็นเวลา ๙ เดือนแล้ว เมื่อถึงวันเพ็ญกลางเดือน ๓ ( มาฆปุรณมี ) ซึ่งตรงกับวันทำพิธีลอยบาปของพราหมณ์ พระพุทธองค์ได้ประทับ ณ เวฬุวนาราม ( วัดเวฬุวัน ) เมืองราชคฤห์ ครั้งนั้นได้มีพระอรหันต์ขีณาสพเจ้า จำนวน ๑,๒๕๐ องค์ ได้พร้อมกันไปเฝ้าพระบรมศาสดา พระองค์ทรงเห็นเป็นนิมิตอันดี จึงได้เสด็จท่ามกลางพระสงฆ์ ๑,๒๕๐ องค์นั้นแสดง “โอวาทปาติโมกข์” ทรงทำวิสุทธิอุโบสถประทานธรรม อันเป็นหลักแห่งพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นหลักในการประกาศพระพุทธศาสนา สำหรับพระสาวกสืบไป | |
• โปรดพุทธมารดา เมื่อพระพุทธมารดาได้ประสูติพระกุมาร สิทธัตถะได้เพียง ๗ วัน ก็ได้ทิวงคต ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรในสวรรค์ชั้นดุสิต ในพรรษาที่ ๗ นับแต่พระพุทธองค์ตรัสรู้ พระพุทธองค์ได้เสด็จขึ้นไปจำพรรษา ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อจะทรงแสดงธรรมโปรดพระพุทธมารดา พระพุทธเจ้าได้เสด็จประทับจำพรรษาท ี่โคนต้นปาริฉัตร บนแท่นแผ่นหินที่ปูลาดด้วยผ้ากัมพลสีแดง เรียกว่า ‘บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์’ พระพุทธมารดาซึ่งอยู่ในเพศเทพบุต รในสวรรค์ชั้นดุสิต ได้เสด็จมาฟังธรรมจากพระพุทธองค์แล้ว บรรลุโสดาปัตติผลในที่สุด | |
ที่มา : www.geocities.com/lekpage_plus/bd_history.html | • เสด็จดับขันธุ์ปรินิพพาน เมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้และแสดงธรรม มาเป็นเวลานานถึง ๔๕ ปี ซึ่งมีพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา ได้ประทับจำพรรษา ณ เวฬุคาม ใกล้เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ในระหว่างนั้นทรงประชวรอย่างหนัก ครั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือน ๖ พระพุทธองค์กับพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ก็ไปรับภัตตาหารบิณฑบาตที่บ้านนายจุนทะ ตามคำกราบทูลนิมนต์ พระองค์เสวยสุกรมัททวะที่นายจุนทะตั้งใจทำถวาย ก็เกิดอาพาธลง แต่ทรงอดกลั้นมุ่งเสด็จไปยังเมืองกุสินารา ประทับ ณ ป่าสาละ เพื่อเสด็จดับขันธุ์ปรินิพพาน ในราตรีนั้น ได้มีปริพาชกผู้หนึ่ง ชื่อสุภัททะขอเข้าเฝ้า และได้อุปสมบทเป็นพระพุทธสาวกองค์สุดท้าย เมื่อถึงยามสุดท้ายของคืนนั้น พระพุทธองค์ก็ทรงประทานปัจฉิมโอวาท ว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันว่าสังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่อมสลาย ไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ของตน และประโยชน์ของผู้อื่นให้บริบูรณ์ ด้วยความไม่ประมาทเถิด ” หลังจากนั้นก็เสด็จเข้าดับขันธุ์ปรินิพพาน ในราตรีเพ็ญเดือน ๖ นั้น |
นิทาน แปลว่า เหตุเป็นเครื่องมอบให้ซึ่งผล, มูลเค้า, เรื่องเดิม, สมุฏฐาน | ||
ชาดก แปลว่า ประวัติการทำความดีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่มีมาในชาติก่อน ๆ | ||
| ||
|